tag:blogger.com,1999:blog-59867263455996385002024-03-05T07:14:26.799-08:00สิ่งลี้ลับmaxsupawichhttp://www.blogger.com/profile/14175643052770677335noreply@blogger.comBlogger9125tag:blogger.com,1999:blog-5986726345599638500.post-18625221841685782252011-03-02T18:58:00.000-08:002011-03-02T18:58:20.596-08:00พญานาคใต้บาดาลโดน 3 ฝรั้งจับ<div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">wow ไม่น่าเชื่อฝรั้งจับได้ <u>ปลาพญานาค</u></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><img alt="พญานาค ฝรั่งจับได้" src="http://statics.atcloud.com/files/entries/8/86454/images/1_display.jpg" /></div>maxsupawichhttp://www.blogger.com/profile/14175643052770677335noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5986726345599638500.post-28373481708961206482011-02-25T01:38:00.000-08:002011-02-25T01:38:56.868-08:00ไขความลับอัญมณี “ตุตันคาเมน” ที่แท้มาจากนอกโลก <br />
<div style="text-align: center;"><img src="http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=567901" width="290" /></div><br />
<strong>วินเซนโซ เดอ มิเชล</strong> (Vincenzo de Michele) คือ<strong>นักธรณีวิทยาอิตาเลียน</strong>รายนั้น ได้ร่วมงาน<strong>อาลี บาราคัต</strong> (Aly Barakat) <strong>นักธรณีวิทยาอียิปต์</strong> เพื่อค้นหาต้น<strong>กำเนิดของอัญมณีปริศนาจนไปพบแก้วแบบนี้กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดในทะเลทรายซาฮารา</strong>ชนิดที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ และนั่นนำไปสู่ปริศนาทางวิทยาศาสตร์ว่า <strong>“แก้วเหล่านั้นไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้อย่างไร”<br />
</strong><br />
ล่าสุด <a href="http://www.bbc.co.uk/sn/tvradio/programmes/horizon/" target="_blank">รายการฮอไรซัน (BBC Horizon)</a> ของสถานีโทรทัศน์บีบีซีจัดทำสารคดีเกี่ยวกับปริศนาเร้นลับนี้ โดยระบุทฤษฎีใหม่เชื่อมโยงเพชรประหลาดของตุตันคาเมนกับอุกกาบาตที่หล่นลงมาจากนอกโลก<br />
<br />
เริ่มจากคริสเตียน โคเบิร์ล (Christian Koeberl) นักเคมีวิทยาดาราศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ที่ตั้งสมมติฐานว่า <strong>แก้วปริศนาเกิดจากอุณหภูมิที่สูงมากๆ ซึ่งเท่าที่รู้เกิดจากปัจจัยเพียงอย่างเดียวคือ ผลกระทบจากอุกกาบาตต่อโลก</strong> อย่างไรก็ดี ไม่มีร่องรอยของหลุมอุกกาบาตในบริเวณดังกล่าว แม้จากภาพถ่ายดาวเทียม<br />
<br />
จอห์น วัสสัน (John Wasson) นักธรณีฟิสิกส์อเมริกันเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกคนที่สนใจต้นกำเนิดของแก้วปริศนา ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะมีสมมติฐานเดียวกันกับ<strong>สิ่งที่เกิดในป่าในไซบีเรียเมื่อปี 1908 ซึ่งเรียกว่าปรากฏการณ์ตังกัสกา (Tunguska) ที่เกิดระเบิดครั้งใหญ่จนต้นไม้ 80 ล้านต้นในบริเวณนั้นราบเป็นหน้ากลอง<br />
</strong><br />
<strong>แม้ไม่ปรากฏสัญญาณว่ามีอุกกาบาตวิ่งชนโลก แต่นักวิทยาศาสตร์คิดว่า น่าจะมีวัตถุชนิดใดชนิดหนึ่งจากนอกโลกระเบิดเหนือตังกัสกา</strong> ขณะที่วัสสันสงสัยว่า น่าจะมีการระเบิดในอากาศในลักษณะคล้ายกันกับที่ตังกัสกา ซึ่งรุนแรงมากถึงขนาดที่ทำให้ทรายในทะเลทรายอียิปต์กลายสภาพเป็นแก้ว<br />
<br />
การระเบิดของระเบิดปรมาณูลูกแรกที่ถูกนำไปทดสอบในนิวเม็กซิโกเมื่อปี 1945 ทำให้เกิดชั้นแก้วบางๆ บนผืนทราย แต่บริเวณที่กลายเป็นแก้วในทะเลทรายอียิปต์กินบริเวณกว้างขวางกว่า ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสถานที่ดังกล่าว ที่แน่ๆ สิ่งนั้นย่อมมีอานุภาพรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณู<br />
<br />
ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องการระเบิดกลางอากาศซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีความรุนแรงถึงระดับนั้นจนกระทั่งปี 1994 เมื่อนักวิทยาศาสตร์จับตาดูดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี (Shoemaker-Levy) ชนกับดาวพฤหัสบดีและเกิดระเบิดในชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี ซึ่งกล้องโทรทัศน์อวกาศฮับเบิลเก็บภาพลูกไฟสว่างเจิดจ้าชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนพุ่งขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าของดาวดวงดังกล่าว<br />
<br />
มาร์ก บอสลัฟ (Mark Boslough) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจำลองปรากฏการณ์อุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลกบนซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สร้างสถานการณ์จำลองของปรากฏการณ์ดังกล่าว และ<strong>พบว่าหากอุกกาบาตพุ่งชนโลก จะทำให้เกิดลูกไฟขนาดใหญ่ซึ่งสามารถทำให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงถึง 1,800 องศาเซลเซียส และทิ้งทุ่งที่เกลื่อนกลาดไปด้วยแก้วปริศนาไว้เบื้องหลัง<br />
</strong><br />
บอสลัฟระบุว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่นำไปทดลองในนิวเม็กซิโกสิบเท่า ยิ่งวัตถุนั้นเปราะบางเท่าไหร่ แนวโน้มที่จะเกิดการระเบิดในอากาศยิ่งมากขึ้นเท่านั้น<br />
<br />
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วัสสันค้นพบสิ่งที่เหลือจากปรากฏการณ์เมื่อ 800,000 ปีที่แล้ว ซึ่งรุนแรงและทำลายล้างมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลทรายอียิปต์ และอาจทำให้เกิดลูกไฟมากมาย รวมทั้งแก้วปริศนากินอาณาบริเวณหลายแสนตารางไมล์ โดยปราศจากร่องรอยหลุมอุกกาบาต ซึ่งหมายความว่า ผู้คนในบริเวณดังกล่าวไม่มีใครรอดชีวิตเลย<br />
<br />
ที่สำคัญ จากทัศนะของบอสลัฟและวัสสัน เหตุการณ์ที่คล้ายกับที่เกิดขึ้นที่ตังกัสกาอาจเกิดขึ้นทุกๆ 100 ปี ทำให้เกิดระเบิดในอากาศรุนแรงพอๆ กับระเบิดปรมาณูที่บอมบ์ฮิโรชิมาหลายลูกรวมกัน<br />
<br />
<strong>อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังเตือนว่า ความพยายามในการระเบิดอุกกาบาตที่พุ่งตรงมายังโลกเหมือนที่เห็นในหนังฮอลลีวูด รังแต่จะทำให้ระเบิดรุนแรงขึ้น</strong><br />
จาก <a href="http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9490000095001">http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9490000095001</a>maxsupawichhttp://www.blogger.com/profile/14175643052770677335noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5986726345599638500.post-38414405035309535822011-02-25T01:29:00.000-08:002011-02-25T01:29:23.145-08:00"เอเลียน" ไม่ต้องตามหาไกล อาจอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก<div style="text-align: center;"> <img height="400" src="http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1177331" width="301" /></div><br />
ศ.พอล เดวีส์ (Prof. Paul Davies) นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยอาริโซนาสเตท (Arizona State University) สหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นว่า โลกของเราอาจเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด ที่มีรูปแบบชีวิตต่างไปจากชีวิตที่เรารู้จัก โดยชีวิตแปลกประหลาดเหล่านี้ อาจซ่อนตัวอยู่ในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยสารหนูอันเป็นพิษ หรือน้ำเดือดจากช่องเล็กๆ ที่ระบายความร้อน (hydrothermal vents) ใต้ทะเลลึก<br />
<br />
บีบีซีนิวส์รายงานว่า ศ.เดวีส์เสนอความเห็นดังกล่าว ระหว่างการประชุมของสมาคมอเมริกัน เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (Association for the Advancement of Science: AAAS) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อกลางเดือน ก.พ.52 ที่ผ่านมา ณ เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐฯ<br />
<br />
"เราไม่จำเป็นต้องไปดาวอื่น เพื่อหาสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดแต่อย่างใด เราอาจเริ่มต้นจากปลายจมูก หรือแม้แต่ในจมูกของเรานี่เอง มีเหตุผลเป็นไปได้ที่คาดหวังได้ว่า เราจะพบแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิต ที่หลบซ่อนอยู่บนโลกนี่เอง แต่ไม่มีใครบากบั่นที่จะค้นหา คำถามคือทำไมล่ะ? ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงมาก อาจจะเป็นแค่เศษเสี้ยวของเงินที่เราใช้เพื่อค้นหาชีวิตต่างดาวด้วยซ้ำ" ศ.เดวีส์กล่าว<br />
<br />
ทั้งนี้ นักฟิสิกส์จากอาริโซนาสเตทเชื่อว่า น่าจะมีวิวัฒนาการของชีวิตบนโลกมานานแล้ว และลูกหลานของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ก็อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ใน "ชาโดว์ไบโอสเฟียร์" (shadow biosphere) หรือแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตที่หลบซ่อนอยู่ และหลุดรอดจากการตรวจจับจากเรดาร์ของเราไปได้ เพราะรูปแบบของชีวเคมีที่แตกต่างจากเรามาก<br />
<br />
เขาเชื่อด้วยว่า กล้องจุลทรรศน์ที่มีอยู่นั้น เหมาะสมเฉพาะกับสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จัก จึงไม่มีใครเคยพบจุลินทรีย์ที่มีชีวเคมีต่างไป และอาจก็ไม่อาจคาดเดาหน้าตาของสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดนี้ ซึ่งความเป็นไปได้อันไม่จำกัด ทำให้ยากต่อการตามหา อย่างไรก็ดีเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นน่าจะมีดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอ หากแต่รหัสพันธุกรรม หรือกรดอะมิโนที่มีต่างไปจากที่เราคุ้นเคย<br />
<br />
ศ.เดวีส์กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าหนึ่งในธาตุที่ก่อให้เกิดเป็นสิ่งมีีชีวิต อย่างคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส นั้นอาจถูกแทนที่ด้วยธาตุอย่างอื่น แล้วกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างไปจากเราอย่างมาก<br />
<br />
“พอผมพูดอย่างนี้ ทุกๆ คนคงคิดถึงสิ่งมีชีวิตที่มีซิลิกอนเป็นองค์ประกอบทันที จากอิทธิพลของหนังเรื่องสตาร์เทรค แต่ผมไม่พูดถึงอะไรที่เป็นนิยายแบบนั้น ยกตัวอย่างเช่น สารหนูซึ่งมีฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบนั้นเป็นพิษต่อมนุษย์ แต่อาจเป็นโครงสร้างของจุลินทรีย์ได้" ศ.เดวีส์ระบุ<br />
<br />
เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตที่เราไม่เคยพบมาก่อนบนโลกนี้ ศ.เดวีส์แนะนำว่า อย่างแรกเราควรเริ่มจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะต่อการอยู่อาศัย อาทิ ทะเลทราย ทะเลสาบที่เค็มจัด บริเวณที่มีความกดอากาศสูง อุณหภูมิร้อนจัดและมีปริมาณรังสียูวีมาก ซึ่งปฏิบัติการตามล่าหาสิ่งมีชีวิตเอเลียนนี้มีสถานที่มากมายให้ค้นหา<br />
<br />
“ยกตัวอย่างเช่น หากเราตามหาสิ่งมีชีวิตที่อิงกับสารหนู เราก็มุ่งหน้าไปยังสิ่่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารหนู และมีปริมาณฟอสฟอรัสต่ำ อย่างในช่องระบายความร้อนใต้ทะเลลึก เป็นต้น" ศ.เดวีส์กล่าว<br />
<br />
เขาบอกด้วยว่าที่แคลิฟอร์เนียมีทะเลสาบโมโน (Mono Lake) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีการปนเปื้อนของสารหนูในปริมาณมาก และให้ความเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่อิงต่อสารหนูนั้น สูบสารหนูเข้าสู่ตัวเองแล้วปล่อยออกมา ไม่ใช่หายใจเข้าไป หรืออีกนับหนึ่งสิ่งมีชีวิตรูปแบบดังกล่าวล้วนอยู่รอบๆ ตัวเราและผสานเป็นส่วนหนึ่งของเรา จึงจำเป็นต้องแยกสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นออกมา<br />
<br />
อีกวิธีที่จะประเมินได้ว่า มนุษย์ต่างดาว หรือ เอเลียนที่ซ่อนอยู่ในโลกของเรานั้นหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น ศ.สตีเฟน เบนเนอร์ (Prof.Steven Benner) จากมหาวิทยาลัยฟลอริดา (University of Florida) บอกว่า คือ การสร้างสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นขึ้นมาจากห้องปฏิบัติการด้วยตัวของเราเอง โดย<strong>เขาและทีมได้ร่วมกันสร้างสิ่งที่ใกล้เคียงกับรูปแบบของสิ่งมีชีิวิต ที่สร้างโดยมนุษย์ขึ้นมา<br />
</strong><br />
แม้ว่าสิ่งที่ทีมวิจัยของ ศ.เบนเนอร์สร้างขึ้นมาจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการป้อนอาหารของนักศึกษาที่ร่วมทีม แต่สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นก็มีวิวัฒนาการ โดยได้เปลี่่ยนแปลงเกลียวคู่ของดีเอ็นเอ จากรหัสพันธุกรรมของเราที่มี 4 ตัว ไปเป็นรหัสพันธุกรรมที่มี 6 ตัว และทำสำเนาซ้ำได้ ด้วยเอนไซม์พอลิเมอเรสและความร้อนโดยธรรมชาติ<br />
<br />
ส่วนงานขึ้นต่อไปคือการสร้างปัจจัยเพื่อให้การคัดเลือก โดยการเลือกภาวะกดดันให้กับสิ่งที่พวกเขาสร้างขึนมา<br />
<br />
อย่างไรก็ดี เขาได้ตั้งคำถามการนิยามถึงการมีชีวิตของคนเราเป็นมุมมองที่ยึดโลกเป็นศูนย์กลางมากเกินไป<br />
<br />
<strong>“จำไว้ว่า เพียงเพราะคุณคือระบบสารเคมีที่มีความมั่นคงในตังเอง และมีการวิวัฒนาการตามทฤษฎีของดาร์วิน นั่นไม่ได้หมายความว่า เป็นคำนิยามสิ่งมีชีวิตของเอกภพ" ศ.เบนเนอร์ให้ความเห็น </strong><br />
<br />
<div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">จาก <a href="http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000020956">http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000020956</a></div>maxsupawichhttp://www.blogger.com/profile/14175643052770677335noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5986726345599638500.post-12020216253392294892011-02-25T01:22:00.000-08:002011-02-25T01:23:04.622-08:00นักวิทย์จีนถ่ายวิดิโอสุริยุปราคา และติดภาพ UFO ด้วย<div align="center"><strong><span style="color: #003366;"><img border="0" height="124" src="http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1328533" width="320" /></span></strong></div><br />
<strong><span style="color: #003366;">หอดูดาวที่นานกิงอ้างถ่ายติดวัตถุลึกลับ ระหว่างบันทึกภาพการเกิดสุริยุปราคาเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พร้อมนักเรียนอีกกลุ่มในกวางตุ้งก็บันทึกได้เช่นกัน เชื่อน่าจะเป็น "ยูเอฟโอ" แต่ขอเวลา 1 ปีเพื่อวิเคราะห์ก่อนฟันธง</span></strong> <br />
เดอะเทเลกราฟและเดลิเมลต่าง รายงานว่า นักดาราศาสตร์ที่หอดูดาวเพอร์เพิลเมาเทน (<a href="http://www.pmo.ac.cn/English/index.htm" target="_blank">Purple Mountain Observatory</a>) ในนานกิง เมืองหลวงของมลฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน <strong>สามารถบันทึกภาพยูเอฟโอได้ ระหว่างการเกิดสุริยุปราคาเมื่อวันที่ 22 ก.ค.52 ทีผ่านมา โดยวิดิโอที่บันทึกได้มีความยาวถึง 40 นาที<br />
</strong><br />
กลายเป็นเรื่องตื่นเต้นกันไปทั่ว เมื่อวันที่ 8 ก.ย.52 ที่ผ่านมา ที่ชินาดอตคอม (<a href="http://www.sina.com/" target="_blank">Sina.com</a>) ได้เผยแพร่ภาพละรายงานเรื่องราวดังกล่าว โดยอ้างถึงหอดูดาวเพอร์เพิลเมาเทน ซึ่งอยู่ในการดูแลของสถาบันวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Sciences) ในการพบวัตถุลึกลับดังกล่าว<br />
<br />
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักเรียน ที่เมืองเดจิง ในกวางตุ้งจับภาพวัตถุลึกลับดังกล่าวกำลังลอยผ่านหน้าไปในช่วงการเกิดสุริยุปราคาเช่นกัน ซึ่งมีนักเรียนอย่างน้อย 9 คนได้บันทึกภาพวัตถุลึกลับไว้<br />
<br />
จี ไฮ-เซง (Ji Hai-sheng) ผู้อำนวยการหอดูดาวดังกล่าว เปิดเผยผ่านไชนาดอตคอมว่า ระหว่างสังเกตการณ์สุริยุปราคานั้น คณะนักวิทยาศาสตร์ก็บันทึกภาพโดยไม่ได้เห็นสิ่งผิดสังเกตในท้องฟ้า แต่มาเห็นอีกทีก็เมื่อนำภาพมาเปิดดูอีกครั้งจากหน้าจอ<br />
<br />
วัตถุลึกลับดังกล่าว มีรูปร่างเกือบกลมเหมือนผลวอลนัทเปลี่ยนสีและขนาดได้ โดยแรกจับภาพได้เป็นทรงกลมสีฟ้าเรืองแสง ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นเรียวยาวสีออกดำ<br />
<br />
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของหอดูดาว ได้พบเห็นลอยอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ ซึ่งตอนนี้ได้ระดมบุคคลากรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพนี้ ก่อนจะเปิดเผยผลทางวิทยาศาสตร์ได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี<br />
<br />
อย่างไรก็ดี บริเวณเมืองนานกิงเป็นพื้นที่เคยมีรายงานการพบเห็นวัตถุลึกลับมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยหวัง สีเจ้า (Wang Sichao) นักวิจัยคนหนึ่งที่หอดูดาวเพอร์เพิลเมาเทนแห่งนี้ เคยเขียนรายงานไว้ในปี พ.ศ. 2551 ว่า จะมียูเอฟโอมาเยี่ยมจังหวัดแห่งนี้ทุกๆ 5 หรือ 10 ปี<br />
<br />
นอกจากนี้ ในปี 2540 หวังยังใช้เงินทุนอของตัวเองตั้งรางวัลประจำปี สำหรับผู้ที่สังเกตเห็นหรือบันทึกภาพยูเอฟโอได้<br />
<br />
สำหรับนานกิงเป็นพื้นที่แรกที่เคยมีรายงานการพบเห็นยูเอฟโอครั้งแรกในจีน เมื่อปี พ.ศ. 2435.<br />
<br />
จาก <a href="http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000104204">http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000104204</a>maxsupawichhttp://www.blogger.com/profile/14175643052770677335noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5986726345599638500.post-61513750530086031482011-02-25T01:08:00.000-08:002011-02-25T01:08:53.912-08:00ทำไมวันสิ้นโลกจึงโยงเป็นปี 2012<div style="text-align: center;"><img border="0" height="244" src="http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1399528" width="400" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><strong>12-21-12</strong> คือ ตัวเลขเดือน (12) วัน (21) และปี (2012) อันเป็นต้นเหตุแห่งความเชื่อและคำทำนายต่างๆ<br />
<br />
ประเดิมด้วยเรื่องของศาสตร์แห่งตัวเลข (Numerology) ที่ทุกหมายเลขมีตัวอักษรเกี่ยวข้อง เมื่อ 12-21-12 แทนตัวอักษรจะได้ ABBAAB และตามภาษาฮิบรูไม่ว่าจะอ่านจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้ายก็จะได้ BA ABBA ซึ่งแปลว่า “บิดากำลังมา” (ซึ่งหมายถึงพระเจ้า)<br />
<br />
อย่างไรก็ดี ปี 2012 ถูกอ้างว่าเป็นปีที่ดีของการเปลี่ยนจิตวิญญาณ (ตามบันทึกทางศาสนาของยิวหรือคริสเตียน) เช่นเดียวกับตาม<b>ปฏิทินมายาที่นับได้ครบ 12 รอบในวันที่ 21 ธ.ค.ของปี 2012</b> ซึ่งหมายถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเพื่อโลก โดยปฏิทินของชาวมายามีรอบทุกๆ 5,200 ปี โดยในรอบนี้ก็จะจบลงในปี 2012<br />
<br />
อีกทั้งเคยมีการระบุว่ารอบ 5,200 ปีที่แล้ว ก็เกิดมหัตภัยใหญ่แก่โลก ถือเป็นคำทำนายของอาณาจักรที่ได้ล่มสลายไปแล้วเมื่อ 1,500 ปีก่อน<br />
<br />
นอกจากนี้ หากนับจำนวนวันระหว่างวันที่ 20 มิ.ย.2007 ซึ่งเป็นวันครีษมายัน (ดวงอาทิตย์ทำมุมห่างขึ้นไปทางเหนือมากที่สุด) จนถึงวันที่ 21 ธ.ค.2012 ซึ่งเป็นวันเหมายัน (ดวงอาทิตย์ทำมุมห่างลงไปทางใต้มากที่สุด) <b>มีจำนวนวัน 2,012 วันพอดี</b><br />
<br />
ส่วนคำทำนายทางวิทยาศาสตร์ก็มีมากมายที่จะเกิดขึ้นในปี 2012 โดยเฉพาะ<b>การเรียงตัวของดาวเคราะห์ในแบบพิเศษ</b> รวมทั้งการคาดการณ์ของนาซาที่บอกไว้ว่า <b>ดวงอาทิตย์จะกลับขั้วแม่เหล็กในช่วงปี 2012</b> ซึ่งเป็นผลจากการสิ้นสุดวงจรจุดดับในรอบ 11 ปี ซึ่งทำให้บางคนเชื่อว่าจะส่งผลต่อสนามแม่เหล็กโลก โดยความร้อนจะเจาะเข้าชั้นบรรยากาศโลก และทำให้เรารับอันตรายจากแสงของดวงอาทิตย์ได้ง่ายขึ้น<br />
<br />
นอกจากนี้ ในปี 1899 ได้ค้นพบเสียงสะท้อน (Schumann Cavity Resonance) ที่เป็นเสมือนจังหวะหัวใจเต้นของโลก ที่ความถี่ 7.8 เฮิรตซ์ (ครั้งต่อวินาที) กระทั่งในปี 1998 พบว่าจังหวะดังกล่าวเต้นเร็วขึ้นเป็น 10 เฮิรตซ์ และเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่ง<b>แสดงให้เห็นว่าสนามแม่เหล็กโลกกำลังอ่อนลง และเชื่อว่าจะมีค่าเป็นศูนย์ในปี 2012</b><br />
<br />
แต่นั่นก็ไม่น่าจะทำให้โลกถึงการล่มสลาย อาจเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนผ่านสู่วงจรใหม่ของโลก</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;">จาก <a href="http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000143943">http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000143943</a></div>maxsupawichhttp://www.blogger.com/profile/14175643052770677335noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5986726345599638500.post-80951542255298810432011-02-25T00:46:00.000-08:002011-02-25T00:51:23.320-08:00“ซันด็อก” ปรากฏการณ์พระอาทิตย์หลายดวงในบรรยากาศ<div style="text-align: center;"><img border="0" height="234" src="http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1584826" width="320" /></div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"> รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการ<a href="http://www.narit.or.th/" target="_blank">สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) </a>อธิบายว่า ปรากฏการณ์ซันด็อก (Sun Dog) เป็นการหักเหของแสงอาทิตย์ผ่านผลึกน้ำแข็งของเมฆชั้นสูง “เซอร์รัส” (Cirrus) ที่อยู่สูงจากพื้นดินขึ้นไป 10 กิโลเมตร เมื่อแสงอาทิตย์สะท้อนจึงทำให้เกิดภาพสะท้อนของดวงอาทิตย์ขึ้นข้างๆ ดวงอาทิตย์ คล้ายมีดวงอาทิตย์ 3 ดวง แต่เป็นภาพดวงอาทิตย์ที่บิดเบี้ยว</div><div style="text-align: center;"><strong>ปัจจัยของการเกิดปรากฏการณ์นี้คือต้องมีเมฆเซอร์รัส แต่สำหรับเมฆคิวมูรัส (Cumulus) ซึ่งเป็นเมฆชั้นต่ำจะไม่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้น</strong> ทั้งนี้ปรากฏการณ์ซันด็อกเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ่อย แต่โดยส่วนตัวแล้ว รศ.บุญรักษากล่าวว่า ไม่ค่อยได้เห็นปรากฏการณ์นี้ชัดๆ ส่วนมากจะเห็นจากภาพที่มีคนบันทึกไว้ และหากค้นดูในกูลเกิล (google) จะพบภาพของปรากฏการณ์นี้จำนวนมาก</div><div style="text-align: center;">ด้าน ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กล่าวว่า ปรากฏการณ์ซันด็อกนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก คล้ายปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด (Halo) แต่ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อแสงอาทิตย์ทำมุมกับผลึกน้ำแข็งของเมฆที่ 22 องศา และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นปกติ ซึ่งเขาเห็นปรากฏการณ์นี้บ่อยๆ ระหว่างโดยสารเครื่องบิน เช่น ระหว่างโดยสารเครื่องบิน จ.สุราษฎร์ธานีก็ได้เห็นปรากฏการณ์นี้ ทั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยเมื่ออากาศเย็นๆ และมากจะพบได้ที่ต่างประเทศ แต่สำหรับเมืองไทยอาจจะเห็นได้ยากเมื่ออยู่ในภาคพื้นดิน</div>maxsupawichhttp://www.blogger.com/profile/14175643052770677335noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5986726345599638500.post-36060029063624928982011-02-24T00:27:00.001-08:002011-03-02T18:46:42.132-08:00บั้งไฟพญานาค หนองคาย 53<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div class="separator" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"></div><div style="text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"> <img alt="เจาะลึก วัฏจักรไนโตรเจน ไขปริศนากำเนิดบั้งไฟพญานาค" height="178" src="http://statics.atcloud.com/files/entries/0/674/images/1_thumbnail.jpg" width="320" /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><div style="text-align: left;"><div style="text-align: center;"><object height="315" width="560"><param name='movie' value='http://statics.atcloud.com/video_players/player.swf'><param name='allowfullscreen' value='true'><param name='allowscriptaccess' value='always'><param name='flashvars' value='config=http://atcloud.com/stories/34847/video_player_xml?is_embed=true'><embed type='application/x-shockwave-flash' src='http://statics.atcloud.com/video_players/player.swf' width='320' height='266' allowscriptaccess='always' allowfullscreen='true' flashvars='config=http://atcloud.com/stories/34847/video_player_xml?is_embed=true'/></object></div></div><div style="text-align: left;"><div style="text-align: center;"><a href="http://atcloud.com/stories/34847" style="color: #0072e5; font-size: 12px; font-weight: bold;" target="_blank">คลิป บั้งไฟ พญานาค </a> - <a href="http://atcloud.com/stories" style="color: #0072e5; font-size: 12px; font-weight: bold;" target="_blank">ไปหน้าแรก</a></div><div style="text-align: center;"><a href="http://atcloud.com/stories" style="color: #0072e5; font-size: 12px; font-weight: bold;" target="_blank"></a>จาก <a href="http://atcloud.com/">http://atcloud.com</a></div></div></div>maxsupawichhttp://www.blogger.com/profile/14175643052770677335noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5986726345599638500.post-23319787288328150142011-02-23T23:56:00.000-08:002011-02-24T00:19:32.153-08:00เมฆลึกลับ<div align="center" class="post_body"></div><div class="post_body" style="text-align: center;"><div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><img align="left" alt="" border="0" class="picnews" height="240" jquery1298534021921="22" src="http://news.mcot.net/_images/MNewsImages_120302.jpg" width="320" />ยาฮู ดอท คอม 14 ต.ค.-เ กิดปรากฏการณ์ประหลาด เมฆก่อตัวเป็นวงแหวนขนาดใหญ่เหนือท้องฟ้ากรุงมอสโก นครหลวงของรัสเซีย มีลักษณะคล้ายกับที่ปรากฏอยู่ในฉากภาพยนตร์เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวบุกโลก </div>นัก อุตุนิยมวิทยา ยืนยันว่าเมฆประหลาดที่มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้นี้ ไม่ได้เกิดจากการตัดแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร อย่างไรก็ตามผู้ที่คลั่งไคล้จานบินจากนอกโลก เชื่อว่าเป็นยานอวกาศขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือพื้นโลกเหมือนกับในภาพยนตร์ เรื่อง Independence Day<br />
โฆษกสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของกรุงมอสโก กล่าวว่า เมฆทรงวงแหวนขนาดใหญ่น่าจะเกิดจากคลื่นความเย็นที่พัดผ่านกรุงมอสโกเมื่อไม่ นานมานี้ ผนวกกับมวลอากาศที่พัดมาจากเขตอาร์กติก และแสงอาทิตย์ที่ส่องมาทางทิศตะวันตก<br />
ประชาชนที่สนใจและติดตาม เหตุการณ์ได้นำภาพดาวน์โหลดลงบนเว็บไซด์ยูทูบ ซึ่งได้รับความสนใจมากมายจากนักท่องอินเทอร์เน็ต ล่าสุดมีผู้สนใจเปิดเข้าไปชมแล้วนับแสนครั้ง ดูภาพความมหัศจรรย์ได้ที่ <a class="external" href="http://buzz.yahoo.com/buzzlog/93092?fp=1" rel="nofollow">http://buzz.yahoo.com/buzzlog/93092?fp=1</a> - สำนักข่าวไทย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/FXF9HSB627U?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div></div>maxsupawichhttp://www.blogger.com/profile/14175643052770677335noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5986726345599638500.post-83825448103444902252011-02-23T22:21:00.000-08:002011-02-23T22:21:35.604-08:00UFO OF THAILAND<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/A0gD9FFi3hM?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/rIfNvb0KjxU?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div>maxsupawichhttp://www.blogger.com/profile/14175643052770677335noreply@blogger.com0