วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไขความลับอัญมณี “ตุตันคาเมน” ที่แท้มาจากนอกโลก

 

วินเซนโซ เดอ มิเชล (Vincenzo de Michele) คือนักธรณีวิทยาอิตาเลียนรายนั้น ได้ร่วมงานอาลี บาราคัต (Aly Barakat) นักธรณีวิทยาอียิปต์ เพื่อค้นหาต้นกำเนิดของอัญมณีปริศนาจนไปพบแก้วแบบนี้กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดในทะเลทรายซาฮาราชนิดที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ และนั่นนำไปสู่ปริศนาทางวิทยาศาสตร์ว่า “แก้วเหล่านั้นไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้อย่างไร”
       

       ล่าสุด รายการฮอไรซัน (BBC Horizon) ของสถานีโทรทัศน์บีบีซีจัดทำสารคดีเกี่ยวกับปริศนาเร้นลับนี้ โดยระบุทฤษฎีใหม่เชื่อมโยงเพชรประหลาดของตุตันคาเมนกับอุกกาบาตที่หล่นลงมาจากนอกโลก
      
       เริ่มจากคริสเตียน โคเบิร์ล (Christian Koeberl) นักเคมีวิทยาดาราศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ที่ตั้งสมมติฐานว่า แก้วปริศนาเกิดจากอุณหภูมิที่สูงมากๆ ซึ่งเท่าที่รู้เกิดจากปัจจัยเพียงอย่างเดียวคือ ผลกระทบจากอุกกาบาตต่อโลก อย่างไรก็ดี ไม่มีร่องรอยของหลุมอุกกาบาตในบริเวณดังกล่าว แม้จากภาพถ่ายดาวเทียม
      
       จอห์น วัสสัน (John Wasson) นักธรณีฟิสิกส์อเมริกันเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกคนที่สนใจต้นกำเนิดของแก้วปริศนา ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะมีสมมติฐานเดียวกันกับสิ่งที่เกิดในป่าในไซบีเรียเมื่อปี 1908 ซึ่งเรียกว่าปรากฏการณ์ตังกัสกา (Tunguska) ที่เกิดระเบิดครั้งใหญ่จนต้นไม้ 80 ล้านต้นในบริเวณนั้นราบเป็นหน้ากลอง
       

       แม้ไม่ปรากฏสัญญาณว่ามีอุกกาบาตวิ่งชนโลก แต่นักวิทยาศาสตร์คิดว่า น่าจะมีวัตถุชนิดใดชนิดหนึ่งจากนอกโลกระเบิดเหนือตังกัสกา ขณะที่วัสสันสงสัยว่า น่าจะมีการระเบิดในอากาศในลักษณะคล้ายกันกับที่ตังกัสกา ซึ่งรุนแรงมากถึงขนาดที่ทำให้ทรายในทะเลทรายอียิปต์กลายสภาพเป็นแก้ว
      
       การระเบิดของระเบิดปรมาณูลูกแรกที่ถูกนำไปทดสอบในนิวเม็กซิโกเมื่อปี 1945 ทำให้เกิดชั้นแก้วบางๆ บนผืนทราย แต่บริเวณที่กลายเป็นแก้วในทะเลทรายอียิปต์กินบริเวณกว้างขวางกว่า ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสถานที่ดังกล่าว ที่แน่ๆ สิ่งนั้นย่อมมีอานุภาพรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณู
      
       ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องการระเบิดกลางอากาศซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีความรุนแรงถึงระดับนั้นจนกระทั่งปี 1994 เมื่อนักวิทยาศาสตร์จับตาดูดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี (Shoemaker-Levy) ชนกับดาวพฤหัสบดีและเกิดระเบิดในชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี ซึ่งกล้องโทรทัศน์อวกาศฮับเบิลเก็บภาพลูกไฟสว่างเจิดจ้าชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนพุ่งขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าของดาวดวงดังกล่าว
      
       มาร์ก บอสลัฟ (Mark Boslough) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจำลองปรากฏการณ์อุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลกบนซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สร้างสถานการณ์จำลองของปรากฏการณ์ดังกล่าว และพบว่าหากอุกกาบาตพุ่งชนโลก จะทำให้เกิดลูกไฟขนาดใหญ่ซึ่งสามารถทำให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงถึง 1,800 องศาเซลเซียส และทิ้งทุ่งที่เกลื่อนกลาดไปด้วยแก้วปริศนาไว้เบื้องหลัง
       

       บอสลัฟระบุว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่นำไปทดลองในนิวเม็กซิโกสิบเท่า ยิ่งวัตถุนั้นเปราะบางเท่าไหร่ แนวโน้มที่จะเกิดการระเบิดในอากาศยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
      
       ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วัสสันค้นพบสิ่งที่เหลือจากปรากฏการณ์เมื่อ 800,000 ปีที่แล้ว ซึ่งรุนแรงและทำลายล้างมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลทรายอียิปต์ และอาจทำให้เกิดลูกไฟมากมาย รวมทั้งแก้วปริศนากินอาณาบริเวณหลายแสนตารางไมล์ โดยปราศจากร่องรอยหลุมอุกกาบาต ซึ่งหมายความว่า ผู้คนในบริเวณดังกล่าวไม่มีใครรอดชีวิตเลย
      
       ที่สำคัญ จากทัศนะของบอสลัฟและวัสสัน เหตุการณ์ที่คล้ายกับที่เกิดขึ้นที่ตังกัสกาอาจเกิดขึ้นทุกๆ 100 ปี ทำให้เกิดระเบิดในอากาศรุนแรงพอๆ กับระเบิดปรมาณูที่บอมบ์ฮิโรชิมาหลายลูกรวมกัน
      
       อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังเตือนว่า ความพยายามในการระเบิดอุกกาบาตที่พุ่งตรงมายังโลกเหมือนที่เห็นในหนังฮอลลีวูด รังแต่จะทำให้ระเบิดรุนแรงขึ้น
จาก http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9490000095001

"เอเลียน" ไม่ต้องตามหาไกล อาจอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก

 

ศ.พอล เดวีส์ (Prof. Paul Davies) นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยอาริโซนาสเตท (Arizona State University) สหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นว่า โลกของเราอาจเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด ที่มีรูปแบบชีวิตต่างไปจากชีวิตที่เรารู้จัก โดยชีวิตแปลกประหลาดเหล่านี้ อาจซ่อนตัวอยู่ในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยสารหนูอันเป็นพิษ  หรือน้ำเดือดจากช่องเล็กๆ ที่ระบายความร้อน (hydrothermal vents) ใต้ทะเลลึก
      
       บีบีซีนิวส์รายงานว่า ศ.เดวีส์เสนอความเห็นดังกล่าว ระหว่างการประชุมของสมาคมอเมริกัน เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (Association for the Advancement of Science: AAAS) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อกลางเดือน ก.พ.52 ที่ผ่านมา ณ เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐฯ
      
       "เราไม่จำเป็นต้องไปดาวอื่น เพื่อหาสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดแต่อย่างใด เราอาจเริ่มต้นจากปลายจมูก หรือแม้แต่ในจมูกของเรานี่เอง มีเหตุผลเป็นไปได้ที่คาดหวังได้ว่า เราจะพบแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิต ที่หลบซ่อนอยู่บนโลกนี่เอง แต่ไม่มีใครบากบั่นที่จะค้นหา คำถามคือทำไมล่ะ? ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงมาก อาจจะเป็นแค่เศษเสี้ยวของเงินที่เราใช้เพื่อค้นหาชีวิตต่างดาวด้วยซ้ำ" ศ.เดวีส์กล่าว
      
       ทั้งนี้ นักฟิสิกส์จากอาริโซนาสเตทเชื่อว่า น่าจะมีวิวัฒนาการของชีวิตบนโลกมานานแล้ว และลูกหลานของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ก็อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ใน "ชาโดว์ไบโอสเฟียร์" (shadow biosphere) หรือแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตที่หลบซ่อนอยู่ และหลุดรอดจากการตรวจจับจากเรดาร์ของเราไปได้ เพราะรูปแบบของชีวเคมีที่แตกต่างจากเรามาก
      
       เขาเชื่อด้วยว่า กล้องจุลทรรศน์ที่มีอยู่นั้น เหมาะสมเฉพาะกับสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จัก จึงไม่มีใครเคยพบจุลินทรีย์ที่มีชีวเคมีต่างไป และอาจก็ไม่อาจคาดเดาหน้าตาของสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดนี้ ซึ่งความเป็นไปได้อันไม่จำกัด ทำให้ยากต่อการตามหา อย่างไรก็ดีเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นน่าจะมีดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอ หากแต่รหัสพันธุกรรม หรือกรดอะมิโนที่มีต่างไปจากที่เราคุ้นเคย
      
       ศ.เดวีส์กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าหนึ่งในธาตุที่ก่อให้เกิดเป็นสิ่งมีีชีวิต อย่างคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส นั้นอาจถูกแทนที่ด้วยธาตุอย่างอื่น แล้วกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างไปจากเราอย่างมาก
      
       “พอผมพูดอย่างนี้ ทุกๆ คนคงคิดถึงสิ่งมีชีวิตที่มีซิลิกอนเป็นองค์ประกอบทันที จากอิทธิพลของหนังเรื่องสตาร์เทรค แต่ผมไม่พูดถึงอะไรที่เป็นนิยายแบบนั้น ยกตัวอย่างเช่น สารหนูซึ่งมีฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบนั้นเป็นพิษต่อมนุษย์ แต่อาจเป็นโครงสร้างของจุลินทรีย์ได้" ศ.เดวีส์ระบุ
      
       เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตที่เราไม่เคยพบมาก่อนบนโลกนี้ ศ.เดวีส์แนะนำว่า อย่างแรกเราควรเริ่มจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะต่อการอยู่อาศัย อาทิ ทะเลทราย ทะเลสาบที่เค็มจัด บริเวณที่มีความกดอากาศสูง อุณหภูมิร้อนจัดและมีปริมาณรังสียูวีมาก ซึ่งปฏิบัติการตามล่าหาสิ่งมีชีวิตเอเลียนนี้มีสถานที่มากมายให้ค้นหา
      
       “ยกตัวอย่างเช่น หากเราตามหาสิ่งมีชีวิตที่อิงกับสารหนู เราก็มุ่งหน้าไปยังสิ่่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารหนู และมีปริมาณฟอสฟอรัสต่ำ อย่างในช่องระบายความร้อนใต้ทะเลลึก เป็นต้น" ศ.เดวีส์กล่าว
      
       เขาบอกด้วยว่าที่แคลิฟอร์เนียมีทะเลสาบโมโน (Mono Lake) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีการปนเปื้อนของสารหนูในปริมาณมาก และให้ความเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่อิงต่อสารหนูนั้น สูบสารหนูเข้าสู่ตัวเองแล้วปล่อยออกมา ไม่ใช่หายใจเข้าไป หรืออีกนับหนึ่งสิ่งมีชีวิตรูปแบบดังกล่าวล้วนอยู่รอบๆ ตัวเราและผสานเป็นส่วนหนึ่งของเรา จึงจำเป็นต้องแยกสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นออกมา
      
       อีกวิธีที่จะประเมินได้ว่า มนุษย์ต่างดาว หรือ เอเลียนที่ซ่อนอยู่ในโลกของเรานั้นหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น ศ.สตีเฟน เบนเนอร์ (Prof.Steven Benner) จากมหาวิทยาลัยฟลอริดา (University of Florida) บอกว่า คือ การสร้างสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นขึ้นมาจากห้องปฏิบัติการด้วยตัวของเราเอง โดยเขาและทีมได้ร่วมกันสร้างสิ่งที่ใกล้เคียงกับรูปแบบของสิ่งมีชีิวิต ที่สร้างโดยมนุษย์ขึ้นมา
       

       แม้ว่าสิ่งที่ทีมวิจัยของ ศ.เบนเนอร์สร้างขึ้นมาจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการป้อนอาหารของนักศึกษาที่ร่วมทีม แต่สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นก็มีวิวัฒนาการ โดยได้เปลี่่ยนแปลงเกลียวคู่ของดีเอ็นเอ จากรหัสพันธุกรรมของเราที่มี 4 ตัว ไปเป็นรหัสพันธุกรรมที่มี 6 ตัว และทำสำเนาซ้ำได้ ด้วยเอนไซม์พอลิเมอเรสและความร้อนโดยธรรมชาติ
      
       ส่วนงานขึ้นต่อไปคือการสร้างปัจจัยเพื่อให้การคัดเลือก โดยการเลือกภาวะกดดันให้กับสิ่งที่พวกเขาสร้างขึนมา
      
       อย่างไรก็ดี เขาได้ตั้งคำถามการนิยามถึงการมีชีวิตของคนเราเป็นมุมมองที่ยึดโลกเป็นศูนย์กลางมากเกินไป
      
       “จำไว้ว่า เพียงเพราะคุณคือระบบสารเคมีที่มีความมั่นคงในตังเอง และมีการวิวัฒนาการตามทฤษฎีของดาร์วิน นั่นไม่ได้หมายความว่า เป็นคำนิยามสิ่งมีชีวิตของเอกภพ" ศ.เบนเนอร์ให้ความเห็น



นักวิทย์จีนถ่ายวิดิโอสุริยุปราคา และติดภาพ UFO ด้วย


หอดูดาวที่นานกิงอ้างถ่ายติดวัตถุลึกลับ ระหว่างบันทึกภาพการเกิดสุริยุปราคาเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พร้อมนักเรียนอีกกลุ่มในกวางตุ้งก็บันทึกได้เช่นกัน เชื่อน่าจะเป็น "ยูเอฟโอ" แต่ขอเวลา 1 ปีเพื่อวิเคราะห์ก่อนฟันธง     
       เดอะเทเลกราฟและเดลิเมลต่าง รายงานว่า นักดาราศาสตร์ที่หอดูดาวเพอร์เพิลเมาเทน (Purple Mountain Observatory) ในนานกิง เมืองหลวงของมลฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน สามารถบันทึกภาพยูเอฟโอได้ ระหว่างการเกิดสุริยุปราคาเมื่อวันที่ 22 ก.ค.52 ทีผ่านมา โดยวิดิโอที่บันทึกได้มีความยาวถึง 40 นาที
       

       กลายเป็นเรื่องตื่นเต้นกันไปทั่ว เมื่อวันที่ 8 ก.ย.52 ที่ผ่านมา ที่ชินาดอตคอม (Sina.com) ได้เผยแพร่ภาพละรายงานเรื่องราวดังกล่าว โดยอ้างถึงหอดูดาวเพอร์เพิลเมาเทน ซึ่งอยู่ในการดูแลของสถาบันวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Sciences) ในการพบวัตถุลึกลับดังกล่าว
     
       นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักเรียน ที่เมืองเดจิง ในกวางตุ้งจับภาพวัตถุลึกลับดังกล่าวกำลังลอยผ่านหน้าไปในช่วงการเกิดสุริยุปราคาเช่นกัน ซึ่งมีนักเรียนอย่างน้อย 9 คนได้บันทึกภาพวัตถุลึกลับไว้
     
       จี ไฮ-เซง (Ji Hai-sheng) ผู้อำนวยการหอดูดาวดังกล่าว เปิดเผยผ่านไชนาดอตคอมว่า ระหว่างสังเกตการณ์สุริยุปราคานั้น คณะนักวิทยาศาสตร์ก็บันทึกภาพโดยไม่ได้เห็นสิ่งผิดสังเกตในท้องฟ้า แต่มาเห็นอีกทีก็เมื่อนำภาพมาเปิดดูอีกครั้งจากหน้าจอ
     
       วัตถุลึกลับดังกล่าว มีรูปร่างเกือบกลมเหมือนผลวอลนัทเปลี่ยนสีและขนาดได้ โดยแรกจับภาพได้เป็นทรงกลมสีฟ้าเรืองแสง ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นเรียวยาวสีออกดำ
     
       ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของหอดูดาว ได้พบเห็นลอยอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ ซึ่งตอนนี้ได้ระดมบุคคลากรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพนี้ ก่อนจะเปิดเผยผลทางวิทยาศาสตร์ได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี
     
       อย่างไรก็ดี บริเวณเมืองนานกิงเป็นพื้นที่เคยมีรายงานการพบเห็นวัตถุลึกลับมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยหวัง สีเจ้า (Wang Sichao) นักวิจัยคนหนึ่งที่หอดูดาวเพอร์เพิลเมาเทนแห่งนี้ เคยเขียนรายงานไว้ในปี พ.ศ. 2551 ว่า จะมียูเอฟโอมาเยี่ยมจังหวัดแห่งนี้ทุกๆ 5 หรือ 10 ปี
     
       นอกจากนี้ ในปี 2540 หวังยังใช้เงินทุนอของตัวเองตั้งรางวัลประจำปี สำหรับผู้ที่สังเกตเห็นหรือบันทึกภาพยูเอฟโอได้
     
       สำหรับนานกิงเป็นพื้นที่แรกที่เคยมีรายงานการพบเห็นยูเอฟโอครั้งแรกในจีน เมื่อปี พ.ศ. 2435.

จาก http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000104204

ทำไมวันสิ้นโลกจึงโยงเป็นปี 2012


12-21-12 คือ ตัวเลขเดือน (12) วัน (21) และปี (2012) อันเป็นต้นเหตุแห่งความเชื่อและคำทำนายต่างๆ
      
        ประเดิมด้วยเรื่องของศาสตร์แห่งตัวเลข (Numerology) ที่ทุกหมายเลขมีตัวอักษรเกี่ยวข้อง เมื่อ 12-21-12 แทนตัวอักษรจะได้ ABBAAB และตามภาษาฮิบรูไม่ว่าจะอ่านจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้ายก็จะได้ BA ABBA ซึ่งแปลว่า “บิดากำลังมา” (ซึ่งหมายถึงพระเจ้า)
      
        อย่างไรก็ดี ปี 2012 ถูกอ้างว่าเป็นปีที่ดีของการเปลี่ยนจิตวิญญาณ (ตามบันทึกทางศาสนาของยิวหรือคริสเตียน) เช่นเดียวกับตามปฏิทินมายาที่นับได้ครบ 12 รอบในวันที่ 21 ธ.ค.ของปี 2012 ซึ่งหมายถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเพื่อโลก โดยปฏิทินของชาวมายามีรอบทุกๆ 5,200 ปี โดยในรอบนี้ก็จะจบลงในปี 2012
      
        อีกทั้งเคยมีการระบุว่ารอบ 5,200 ปีที่แล้ว ก็เกิดมหัตภัยใหญ่แก่โลก ถือเป็นคำทำนายของอาณาจักรที่ได้ล่มสลายไปแล้วเมื่อ 1,500 ปีก่อน
      
        นอกจากนี้ หากนับจำนวนวันระหว่างวันที่ 20 มิ.ย.2007 ซึ่งเป็นวันครีษมายัน (ดวงอาทิตย์ทำมุมห่างขึ้นไปทางเหนือมากที่สุด) จนถึงวันที่ 21 ธ.ค.2012 ซึ่งเป็นวันเหมายัน (ดวงอาทิตย์ทำมุมห่างลงไปทางใต้มากที่สุด) มีจำนวนวัน 2,012 วันพอดี
      
        ส่วนคำทำนายทางวิทยาศาสตร์ก็มีมากมายที่จะเกิดขึ้นในปี 2012 โดยเฉพาะการเรียงตัวของดาวเคราะห์ในแบบพิเศษ รวมทั้งการคาดการณ์ของนาซาที่บอกไว้ว่า ดวงอาทิตย์จะกลับขั้วแม่เหล็กในช่วงปี 2012 ซึ่งเป็นผลจากการสิ้นสุดวงจรจุดดับในรอบ 11 ปี ซึ่งทำให้บางคนเชื่อว่าจะส่งผลต่อสนามแม่เหล็กโลก โดยความร้อนจะเจาะเข้าชั้นบรรยากาศโลก และทำให้เรารับอันตรายจากแสงของดวงอาทิตย์ได้ง่ายขึ้น
      
        นอกจากนี้ ในปี 1899 ได้ค้นพบเสียงสะท้อน (Schumann Cavity Resonance) ที่เป็นเสมือนจังหวะหัวใจเต้นของโลก ที่ความถี่ 7.8 เฮิรตซ์ (ครั้งต่อวินาที) กระทั่งในปี 1998 พบว่าจังหวะดังกล่าวเต้นเร็วขึ้นเป็น 10 เฮิรตซ์ และเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสนามแม่เหล็กโลกกำลังอ่อนลง และเชื่อว่าจะมีค่าเป็นศูนย์ในปี 2012
      
        แต่นั่นก็ไม่น่าจะทำให้โลกถึงการล่มสลาย อาจเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนผ่านสู่วงจรใหม่ของโลก

“ซันด็อก” ปรากฏการณ์พระอาทิตย์หลายดวงในบรรยากาศ


 รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) อธิบายว่า ปรากฏการณ์ซันด็อก (Sun Dog) เป็นการหักเหของแสงอาทิตย์ผ่านผลึกน้ำแข็งของเมฆชั้นสูง “เซอร์รัส” (Cirrus) ที่อยู่สูงจากพื้นดินขึ้นไป 10 กิโลเมตร เมื่อแสงอาทิตย์สะท้อนจึงทำให้เกิดภาพสะท้อนของดวงอาทิตย์ขึ้นข้างๆ ดวงอาทิตย์ คล้ายมีดวงอาทิตย์ 3 ดวง แต่เป็นภาพดวงอาทิตย์ที่บิดเบี้ยว
ปัจจัยของการเกิดปรากฏการณ์นี้คือต้องมีเมฆเซอร์รัส แต่สำหรับเมฆคิวมูรัส (Cumulus) ซึ่งเป็นเมฆชั้นต่ำจะไม่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้น ทั้งนี้ปรากฏการณ์ซันด็อกเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ่อย แต่โดยส่วนตัวแล้ว รศ.บุญรักษากล่าวว่า ไม่ค่อยได้เห็นปรากฏการณ์นี้ชัดๆ ส่วนมากจะเห็นจากภาพที่มีคนบันทึกไว้ และหากค้นดูในกูลเกิล (google) จะพบภาพของปรากฏการณ์นี้จำนวนมาก
ด้าน ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กล่าวว่า ปรากฏการณ์ซันด็อกนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก คล้ายปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด (Halo) แต่ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อแสงอาทิตย์ทำมุมกับผลึกน้ำแข็งของเมฆที่ 22 องศา และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นปกติ ซึ่งเขาเห็นปรากฏการณ์นี้บ่อยๆ ระหว่างโดยสารเครื่องบิน เช่น ระหว่างโดยสารเครื่องบิน จ.สุราษฎร์ธานีก็ได้เห็นปรากฏการณ์นี้ ทั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยเมื่ออากาศเย็นๆ และมากจะพบได้ที่ต่างประเทศ แต่สำหรับเมืองไทยอาจจะเห็นได้ยากเมื่ออยู่ในภาคพื้นดิน

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เมฆลึกลับ

ยาฮู ดอท คอม 14 ต.ค.-เ กิดปรากฏการณ์ประหลาด เมฆก่อตัวเป็นวงแหวนขนาดใหญ่เหนือท้องฟ้ากรุงมอสโก นครหลวงของรัสเซีย มีลักษณะคล้ายกับที่ปรากฏอยู่ในฉากภาพยนตร์เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวบุกโลก
นัก อุตุนิยมวิทยา ยืนยันว่าเมฆประหลาดที่มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้นี้ ไม่ได้เกิดจากการตัดแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร อย่างไรก็ตามผู้ที่คลั่งไคล้จานบินจากนอกโลก เชื่อว่าเป็นยานอวกาศขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือพื้นโลกเหมือนกับในภาพยนตร์ เรื่อง Independence Day
โฆษกสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของกรุงมอสโก กล่าวว่า เมฆทรงวงแหวนขนาดใหญ่น่าจะเกิดจากคลื่นความเย็นที่พัดผ่านกรุงมอสโกเมื่อไม่ นานมานี้  ผนวกกับมวลอากาศที่พัดมาจากเขตอาร์กติก และแสงอาทิตย์ที่ส่องมาทางทิศตะวันตก
ประชาชนที่สนใจและติดตาม เหตุการณ์ได้นำภาพดาวน์โหลดลงบนเว็บไซด์ยูทูบ ซึ่งได้รับความสนใจมากมายจากนักท่องอินเทอร์เน็ต ล่าสุดมีผู้สนใจเปิดเข้าไปชมแล้วนับแสนครั้ง ดูภาพความมหัศจรรย์ได้ที่  http://buzz.yahoo.com/buzzlog/93092?fp=1 - สำนักข่าวไทย



UFO OF THAILAND